โลกของสายพันธุ์แมวนั้นมีความหลากหลายและน่าหลงใหล ในบรรดาพันธุ์แมวต่าง ๆ ‘สฟิงซ์พันธุ์แมว (Sphynx)’ เป็นพันธุ์ที่โดดเด่นและน่าสนใจเป็นพิเศษ มันมักถูกเรียกว่าเป็นแมว “Naked” เนื่องจากเป็นแมวที่ไม่มีขน แต่สฟิงซ์เป็นมากกว่ารูปลักษณ์ที่ไม่มีขน มันเต็มไปด้วยธรรมชาติที่น่ารัก มีความอ่อนโยน มีพลังงานสูง และมีความซุกซนมากมาย ทำให้มันเป็นพันธุ์ที่ไม่เหมือนใครเลย ในบทความนี้ เราจะมาเจาะลึกทุกสิ่งที่คุณจำเป็นต้องรู้เกี่ยวกับสายพันธุ์พิเศษนี้ รวมถึงต้นกำเนิด ลักษณะนิสัย สุขภาพ และการดูแล
ต้นกำเนิดของ สฟิงซ์พันธุ์แมว
แมวสฟิงซ์ ขึ้นชื่อเรื่องไม่มีขน มันเป็นพันธุ์ที่น่าสนใจมากและมีประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ มันเป็นแมวสายพันธุ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นในช่วงปี 1960 ซึ่งแตกต่างจากแมวหลาย ๆ สายพันธุ์ที่พัฒนาตามธรรมชาติมาหลายศตวรรษ สายพันธุ์นี้เกิดขึ้นจากการกลายพันธุ์ทางพันธุกรรมตามธรรมชาติซึ่งนำไปสู่การไม่มีขน โดยพบครั้งแรกในแมวที่เกิดในโตรอนโต ประเทศแคนาดา
ลูกแมวตัวนั้นชื่อ ‘ปรูน (Prune)’ มันได้ถูกผสมพันธุ์กับแม่ของมันทำให้เกิดลูกแมวไร้ขนมากขึ้น ซึ่งเป็นรากฐานสำหรับสายพันธุ์ที่ไม่เหมือนใครนี้ แม้ในตอนแรกจะมีข้อกังขาเรื่องสุขภาพ แต่สฟิงซ์ก็ได้รับความนิยมเนื่องจากรูปลักษณ์ที่เป็นเอกลักษณ์และบุคลิกที่น่ารักของมัน
ทำความเข้าใจเกี่ยวกับแมวสฟิงซ์
สฟิงซ์เป็นพันธุ์ขนาดกลาง มีร่างกายผอมและมีกล้ามเนื้อแต่ก็อาจพบเจอกับแมวสฟิงซ์อ้วนได้บ้างจากพันธุกรรม ส่วนหัวของมันมีรูปทรงแหลมและมีใบหูที่ใหญ่เป็นพิเศษ ลักษณะเด่นชัดของมันคือไม่มีขน แต่ผิวหนังของมันนั้นถูกหุ้มด้วยชั้นขนละเอียด ซึ่งให้ความรู้สึกเหมือนหนังกลับ แต่ไม่ใช่แค่รูปร่างหน้าตาเท่านั้นที่ทำให้พวกมันแตกต่าง มันยังมีนิสัยที่โดดเด่น ดังนี้
- ระดับพลังงานสูง: สฟิงซ์ขึ้นชื่อเรื่องนิสัยขี้เล่นและซุกซน ชอบสำรวจสิ่งแวดล้อม ปีนของเล่น และเล่นได้อย่างสนุกสนาน
- ชอบเข้าสังคม: แมวสายพันธุ์นี้เข้ากับคนง่ายมาก พวกมันชอบที่จะเป็นศูนย์กลางของความสนใจและมักจะติดตามเจ้าของไปรอบ ๆ บ้าน มีมนุษยสัมพันธ์ดีและปรับตัวเข้ากับสัตว์เลี้ยงอื่นและเด็กได้ดี
- มีนิสัยอ่อนโยน: แม้จะมีหน้าตาแปลก แต่มีบุคลิกอ่อนโยนและชอบเอาใจ ชอบไออุ่นของมนุษย์และมักจะนอนหนุนตักคุณหรือใต้ผ้าห่ม
- ฉลาด: สฟิงซ์เป็นพันธุ์ที่ฉลาด สามารถฝึกให้แสดงท่าทาง ตอบสนองเมื่อเรียกชื่อ และเดินกับสายจูงได้
สุขภาพและอายุขัยของแมวสฟิงซ์
สฟิงซ์เหมือนแมวพันธุ์อื่น ๆ ที่มีความเสี่ยงต่อสุขภาพบางอย่าง มันมักจะมีแนวโน้มเป็นโรคทางพันธุกรรมและปัญหาสุขภาพต่าง ๆ ดังนี้
- ปัญหาผิวหนัง: เนื่องจากไม่มีขน สฟิงซ์จึงมีความเสี่ยงต่อสิว ผื่น และผิวไหม้แดด สิ่งสำคัญคือต้องรักษาความสะอาดของผิวหนังและจำกัดการสัมผัสกับแสงแดดโดยตรง
- โรคหัวใจ: แมวสายพันธุ์นี้มีแนวโน้มเป็น โรคกล้ามเนื้อหัวใจหนาผิดปกติ (Hypertrophic cardiomyopathy) ซึ่งเป็นโรคหัวใจที่พบบ่อยในแมว
- ปัญหาระบบทางเดินหายใจ: อาจมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน
- ปัญหาฟัน: โรคเหงือกและฟันก็พบได้บ่อย เนื่องจากการกลายพันธุ์ทําให้เกิดกระทบต่อฟันด้วย
แม้จะมีปัญหาสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นเหล่านี้ แต่ด้วยการดูแลที่เหมาะสม อายุขัยเฉลี่ยของแมวสฟิงซ์จึงอยู่ที่ประมาณ 13 ถึง 15 ปีเลยทีเดียว
อาหารสําหรับพันธุ์แมวสฟิงซ์
เมื่อพูดถึงการให้อาหาร สฟิงซ์มีอัตราการเผาผลาญสูงกว่าพันธุ์อื่น จึงต้องการแคลอรีมากกว่าเพื่อรักษาระดับพลังงานสูงของมัน โดยอาหารควรประกอบไปด้วยอาหารแมวคุณภาพสูง มีโปรตีนสูงและคาร์โบไฮเดรตต่ำ
อาหารเปียกจึงเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับสฟิงซ์เพราะช่วยให้มีความชุ่มชื้น ซึ่งสำคัญต่อสุขภาพผิว อาหารแห้งก็ควรให้บ้างเพื่อสุขภาพช่องปาก แนะนำให้อาหารสฟิงซ์เมื่อโตแล้วอย่างน้อยวันละสองมื้อ ส่วนลูกแมวอาจต้องให้ถึงสามมื้อต่อวัน นอกจากนี้ ควรตรวจดูน้ำหนักแมวสม่ำเสมอเพื่อให้แน่ใจว่าไม่กินน้อยหรือมากเกินไป เพราะอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ได้ และควรมีน้ำสะอาดให้ดื่มตลอดเวลา
การดูแลแมวสฟิงซ์
การดูแลสฟิงซ์จำเป็นต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษเนื่องจากลักษณะเฉพาะของสายพันธุ์ โดยวิธีเลี้ยงแมวสฟิงซ์ที่ควรพิจารณาและเอาใจใส่เป็นพิเศษ มีดังนี้
- อาหาร: ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น อาหารที่มีคุณภาพสูงมีความสำคัญมาก
- การทำความสะอาด: ต้องอาบน้ำบ่อยเพื่อกำจัดคราบน้ำมันบนผิว นอกจากนี้ควรทำความสะอาดหูเป็นประจำเพื่อป้องกันการติดเชื้อด้วย
- สภาพแวดล้อม: ควรเลี้ยงสฟิงซ์ในบ้านเพื่อป้องกันแดดและอากาศหนาว ควรมีพื้นที่อบอุ่นให้มันนอนพักผ่อน
- การดูแลสุขภาพ: ควรตรวจสุขภาพกับสัตวแพทย์เป็นประจำ ฉีดวัคซีนให้ครบ ตรวจเช็คสุขภาพฟันอย่างสม่ำเสมอ
การผสมพันธุ์
การผสมพันธุ์สฟิงซ์ต้องมีการวางแผนและพิจารณาอย่างรอบคอบ เนื่องจากมีความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพ ผู้เพาะพันธุ์ที่ดีจะให้ความสำคัญกับสุขภาพแมวเป็นอันดับแรก และมีการตรวจคัดกรองโรคพร้อมให้การดูแลอย่างดี ลูกแมวสฟิงซ์จะเกิดมาโดยไม่มีขนเกือบสนิท และในขณะที่บางตัวอาจมีขนละเอียดเมื่อโตเต็มที่ แต่บางตัวก็ยังคงไม่มีขนตลอดชีวิต พวกมันมักมีความกระตือรือร้นและอยากรู้อยากเห็น สะท้อนบุคลิกขี้เล่นและชอบเข้าสังคมตั้งแต่เล็ก
ใบแสดงมาตรฐาน
Cat Fanciers Association (CFA) และ The International Cat Association (TICA) เป็นองค์กรที่มีชื่อเสียง 2 องค์กรที่สร้างมาตรฐานการแสดงสำหรับสายพันธุ์สฟิงซ์ สายพันธุ์นี้พิจารณาจากโครงสร้างร่างกาย ผิวสัมผัส ตำแหน่งหู รูปร่างตา สุขภาพโดยรวม ท่ามกลางปัจจัยอื่น ๆ
สฟิงซ์ในวัฒนธรรมร่วมสมัย
แมวสฟิงซ์มีลักษณะที่โดดเด่น ได้สร้างชื่อเสียงในวัฒนธรรมสมัยนิยม ที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ Sphynx ชื่อ Mr. Bigglesworth ซึ่งแสดงในภาพยนตร์ซีรีส์เรื่อง Austin Powers นอกจากนี้ยังปรากฏในรายการโทรทัศน์ ภาพยนตร์โฆษณา และการ์ตูนต่าง ๆ ทำให้แมวสายพันธุ์นี้เป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมมากขึ้นทั่วโลก
สรุปทุกเรื่องของ สฟิงซ์พันธุ์แมว
แมวสฟิงซ์มีลักษณะเฉพาะที่ไม่มีขนและนิสัยแมวสฟิงซ์ส่วนใหญ่มักจะเข้ากับคนง่าย เป็นพันธุ์ที่โดดเด่นจากพันธุ์อื่น ๆ โดยพันธุ์นี้มักเติบโตได้ดีด้วยการเป็นเพื่อนและทำกิจกรรมกับมนุษย์ จึงเหมาะกับครอบครัวหรือบุคคลที่มีเวลามากพอที่จะดูแลสัตว์เลี้ยง
โปรดจำไว้ว่า การเลี้ยงแมวสฟิงซ์ต้องมีความมุ่งมั่นต่อความต้องการการดูแลที่ไม่เหมือนใคร ตั้งแต่การดูแลผิวหนังไปจนถึงความต้องการทางสังคม แต่สำหรับผู้ที่เต็มใจให้การดูแลและเอาใจใส่ที่จำเป็น แมวสฟิงซ์สามารถเป็นเพื่อนคู่หูที่น่าเอ็นดู สนุกสนาน และน่ารักกับคุณได้ตลอดเวลา